วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2553

001 อนัตตาคืออะไร

อนัตตา (Anatta)ในความหมายของพุทธหมายถึง ความไม่มีตัวตน



  • ธรรมชาติของ อนัตตา

  • อนัตตา จุดเริ่มของทุกอย่าง

  • อธิพลของคำว่า อนัตตาในจิตใจมนุษย์

  • ความสำคัญของอนัตตา



"ทุก ๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งในระดับปัจเจกคน หมายถึงภายใตตัวตนของเราในแต่ละคน จนถึงระดับมหาชนล้วนเกิดจากการยึดมั่นใน อัตตา(ตัวกูของกู) ทั้งสิ้น"

อนัตตา และ ความหมาย (ธรรมชาติของ อนัตตา)


อนัตตา หมายถึง ความว่างเปล่า ความไม่มีตัวตน การไม่ยึดมั่นในตัวตนใด ๆ ธรรมชาติของอนัตตา คือการปล่อยว่าง การไม่ยึดติดในเรื่อง ใด ๆ ก็ตาม จนมีคำกล่าวที่อ้างอิงจาก พระพุทธทาสว่า คนใดก็ตามที่สามารถเห็น อนัตตาในทุก ๆ สิ่ง คนคนนั้นก็จะบรรลุ เห็นดวงตาธรรมได้อย่างง่ายดาย (แต่เราสามารถละทิ้งความสัมพันธุ์ของ พ่อ-ลูก สามี-ภรรยา ฯลฯ ได้หรือ โดยการไม่ยึดมั่น) อย่างไรก็ตาม อนัตตา แม้นเป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ง่าย แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ยากแสนยาก (แม้แต่พระสงฆ์ที่มีความใกล้ชิดกับคำว่า "อนัตตา" มากที่สุด ในปัจจุปันนี้ยังคงยึดมั่นในวัตถุ) คำว่า "ธรรม" หมายถึง ธรรมชาติ อันหมายถึง ความเป็นจริงของสัตว์โลก ความเป็นธรรมชาติของทุกสิ่ง ธรรมชาติจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (คือความเป็นอนิจัง) การเปลี่ยนแปลงนี้เองทำให้คนเราเกิดความสุข หรือ ความทุกข์ (ทุกขัง) โดยเฉพาะในวัฒนธรรมของปัจจุปันที่เป็นแบบโลกาภิวัฒน์ วัฒนธรรมตะวันตกเป็นวัฒนธรรมสายหลักที่มีอิทธิพลต่อทุก ๆ คนในโลก (โดยเฉพาะประเทศที่ต้องการได้ชื่อว่าประเทศพัฒนาแล้ว) เราถูกกรอบของความยึดมั่นแบบตะวันตก ให้เป็นเหมือนต้นแบบของการพัฒนา เนื่องจาก หลักการของตะวันตก ได้ชื่อว่าเป็นการจัดการแบบยึดมั่นในวัตถุประสงค์ หรือ เป้าหมาย (Management by Objective) จากภาพที่เห็นง่าย ๆ คือ บริษัทในปัจจุปันถูกกดดันให้เข้าสู่ระบบมาตรฐานต่าง ๆ เช่น ระบบ ISO IAEA ต่าง ๆ ทำให้เกิดความเป็น อัตตา ขึ้นอย่างเต็มเปี่ยม ในทุกระดับเนื้อในของวัฒนธรรม ขณะที่ พุทธะ (ซึ่งหมายถึงความสว่าง) นับวัน ทุก ๆ คนก็ดูเหมือนห่างเหิน

อนัตตา จุดเริ่มของทุกอย่าง

ตามความเชื่อของคนจีนตามหลักของฮวงจุ้ย ( 风水) ซึ่งเป็นศาสตร์แต่งสัมพันธภาพระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดจากความว่างเปล่า จากความว่างเปล่าเป็นความมี จากความมีก่อเกิดเป็น หยินและหยาง โดยคัมภีร์เต๋าเต็กเก็งของเหลาจือได้รจนาอ้างถึง ดังตอนหนึ่งว่า


"จักรวาลที่ถือกำเนิดขึ้นมา

หยาง อยู่ข้างหน้า

หยิน อยู่ข้างหลัง

ขาว กับ ดำ

บวก กับ ลบ

สองลักษณะผสานเป็นหนึ่ง"

แล้วความมี คืออะไร ความมีในความหมายของฮวงจุ้ย (เป็นความเห็นของผู้เขียน) นั้นยังไม่ได้หมายถึงอัตตาเสียทีเดียว เพราะอัตตาหมายถึง ความยึดมั่นเป็นของเรา แต่ความมี หมายถึงความมีที่เป็นธรรมชาติ ยังไม่มีการยึดมั่น

ธรรมชาติของการเกิด การมีตัวตน โดยธรรมชาติแล้ว เมื่อเกิดความว่างเปล่าแล้ว ความมีตัวตนก็จะเกิดขึ้น มันเหมือนราวกับว่า อนัตตามีเงาเป็นอัตตา ความว่างเปล่ามีเงาเป็นความมี นั่นเอง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การกำเนิดของจักรวาล และความทุกข์ของคน




เราอาจกล่าวได้ว่าจักรวาล(Space) หมายถึงแรกเริ่มเดิมทีก็หมายถึงความว่างเปล่า เมื่อมีความว่างเปล่าก็จะเกิดการมี (เกิดเป็นระบบสุริยะจักวาล และระบบดาวต่าง ๆ ขึ้น) โดยแรกเริ่มเดิมทีแล้ว ความมี (ระบบสุริยะจักรวาล) เป็นเพียงฝุ่นประเภทหนึ่งของจักวาล และเมื่อมีการรวมตัวกัน เป็นตัวตนแล้ว ก็จะเกิดแรงดึงดูดในการดาวเคราะห์อื่น ๆ มาเป็นบริวาร นั่นคงหมายถึงการมีตัวตนนั่นเองหรืออีกนัยหนึ่งหมายถึงการมีอัตตา แต่ในความเป็นจริงแล้วระบบสุริยะจักวาลเป็นเพียงระบบเล็ก ๆ ในระบบใหญ่ หรืออาจกล่าวได้ว่า เป็นเพียงเศษฝุ่นในระบบจักรวาลใหญ่ ๆ เท่านั้นเอง

ความทุกข์ ความสุขของคนเราเอง ก็เป็นตัวอย่างที่ดีของ อนัตตา และ อัตตา คนเราเมื่อยังเป็นเด็ก ๆ เราไม่ทราบอะไรคือความทุกข์ อะไรคือความสุข จิตใจว่างเปล่าปราศจากทั้งความทุกข์ และ สุข ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมชาติในตัวเอง แต่เมื่อเราเริ่มรู้ความมากขึ้นแล้ว เราเริ่มถูกกระแสของความสุข ความทุกข์ ในสังคมมาเป็นต้นแบบให้เราคิดว่า อย่างนี้คือความสุข อย่างนี้คือความทุกข์ เช่นถ้ามีเงินแล้วมีความสุข ถ้ายากจนเป็นเป็นทุกข์ (กระแสความคิดแบบในความคิดเห็นของผู้เขียน หมายถึงกระแสหลักของโลกในยุคเริ่มมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม) และกระแสนี้เองก่อให้เกิดความีอัตตาในตัวคนทุก ๆ คน โดยคิดว่า ถ้าคนคนนั้นร่ำรวยก็จะมีความสุข ยากจนก็จะมีความทุกข์ (แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนรวยอาจทุกข์ว่า คนที่พอกินพอใช้ ก็ได้)

หมายเหตุ
ความเข้าใจในเรื่อง อนัตตา และ อัตตานี้เองยังสามารถใช้ในระบบการตลาดยุคปัจจุปันโดยการขับเคลื่อนผ่านวิธีการสร้างกระแส ผ่านทางการจัดกิจกรรมต่าง ๆ การใช้สื่อโฆษณา ฯลฯ


อธิพลของคำว่า อนัตตาในจิตใจมนุษย์

ถ้าคนเราทุกคน ไม่ยึดมั่นกับผลมากเกินไป ปล่อยว่างบ้าง ก็จะทำให้ คน คน นั้นเกิดความพอเพียงไม่ทุกข์ตามหลัก เศรษฐกิจพอเพียงที่พ่อหลวงของเราพระราชทานมาให้ เราคงไม่จำเป็นต้องยึดหลักการอนัตตามากเกินไปเพราะเราเองไม่ใช่พระสงฆ์ที่ต้องฝึกเกาจิตใจจนมองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา


อนัตตาในความหมายที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอในบทความนี้ เป็นเป็นอนัตตาย่อย ๆ (บาง ๆ) ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของเราในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่อนัตตาที่มีความเข้มข้นสูงตามแบบอย่างของที่ต้องฝึกฝนตามหลักของ อาปานสติ 16 ขั้น ของศาสนาพุทธ อนัตตาเพียงแค่บาง ๆ (การปล่อยวาง) ไม่เข้มข้นมากนักก็สามารถที่สร้างประโยชน์ในจิตใจของคนเราทุก ๆ คนได้

คนเราทุกคนแม้จะพยายามทำใจให้ว่างเปล่าแล้ว แต่อย่างที่บอกว่า อนัตตามีเงาเป็นอัตตา ฝุ่น(ความมีหรือ อัตตา) ในอนัตตาก็จะเกิดขึ้น และพยายามควบแน่น จนเกิดเป็นอัตตา ตัวอย่างเช่น เมื่อใดก็ตามที่คุณพยายามไม่ยึดมั่น จะเป็นการลดแรงกดดันภายในจิตใจ ทำให้คุณมีสมาธิและเห็นโอกาสในทำงานให้สำเร็จมากขึ้นแบบไม่มีแรงกดดัน เมื่อคุณทำงานใด ๆ สำเร็จแล้วก็จะเกิดความมั่นใจ และเกิดกระแสความคาดหวังของคนอื่น ทำให้เกิดอัตตาความเป็นตัวตน ความเป็นตัวกู และเป็นผลทำให้เกิดแรงกดดันในการทำงานและผลของแรงกดดันจะทำให้คุณมีโอกาสประสพความสำเร็จน้อยลง


ความสำคัญของอนัตตา




ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ อนัตตา คือ ระดับความเข้มข้นของอนัตตา ตัวอย่างเช่น อนัตตาแบบบางสุด หรือไม่มีเลยเราก็เรียกว่า "อัตตา" ถ้ามีบ้าง เบาบาง หน่อยก็เรียกว่า "การปล่อยวาง" ถ้ามีความเข้มข้นแบบสูงแบบ 100% คือ "อนัตตา" หมายถึง ความว่างเปล่า ตามรูปภาพที่เสนอด้านล่างนี้ และระดับการปล่อยวางก็มีผลกับจิตใจของคนเรา นั่นอาจเปรียบได้กับระดับความสุขของคนคนนั้น ผู้เขียนเองไม่ได้บอกว่าการปล่อยวางนั้นถือเป็นความสุข บางคนอาจบอกว่า ถ้าเราไม่มีอะไรจะกินเราจะปล่อยวางได้อย่างไร? และโดยคำสั่งสอนของศาสนาพุทธเองก็ให้เราทุก ๆ คนพยายามเดินสายกลาง แล้วระดับในอุดมคติเกี่ยวกับอนัตตาในตัวเราที่เป็นเพียงพุทธศาสนิกชน ผู้เขียนเองว่า แค่เพียงระดับการปล่อยวาง ไม่ยึดมั่น ถือมั่นในผลลัพธ์ของสิ่งต่าง ๆ ที่เราต้องทำก็ถือว่าพอเพียงแล้ว


ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ถ้าเรามีลูกที่ต้องดูแล เราจะปล่อยวางหน้าที่ของความเป็นพ่อหรือเป็นแม่ได้หรือ (แล้วอ้างว่าที่คือหลักของอนัตตา) หรือเราจะเข้มงวดเขาจนถึงระดับที่เราพอใจ (แล้วอ้างว่าเราทำทุกอย่างเพื่อลูก อนาคตของลูก ยึดมั่นในความคิดของเราว่าเราคิดถูก ถือเป็นอัตตา) โดยไม่คำนึงถึงความกดดันที่มีผลกับลูก นั่นก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องล่ะ คำตอบคือเดินสายกลางเท่านั้น (เป็นคำตอบสุดท้าย) สิ่งที่ผู้เขียนพยายามเสนอคือ ระดับอนัตตา และความสำคัญของอนัตตาในระดับปัจเจกคน


Web Site อ้างอิงที่น่าสนใจ http://www.buddhadasa.in.th/index_main.php

หมายเหตุ

ข้อความเนื้อหาใด ๆ นี้ที่ปรากฏหน้าบทความนี้เกิดจากความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น โปรดใช้วิจารณาณในการรับข้อมูล โดยที่ทางผู้จัดทำไม่มีความประสงค์ในการหลบหลู่ความเชื่อใด ๆ ทั้งสิ้น

ไม่มีความคิดเห็น: